ทำความรู้จัก วัดบ้านปราสาท ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

ประวัติวัดบ้านปราสาท
วัดบ้านปราสาท เป็นวัดเก่าแก่วัด หนึ่งในตำบลปราสาทที่ประวัติความเป็นมาช้านานแล้ว ปัจจุบันขึ้นอยู่กับอำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของบริเวณที่ตั้งวัด
ลักษณะพื้นที่ของวัดบริเวณส่วนกลางของเนื้อที่วัดสูงและบริเวณรอบๆ เนื้อที่ต่ำราบลุ่มมีสระลุ่มหลายแห่งโดยเฉพาะที่ราบสูงตรงกลางบริเวณวัดปลูกสร้างโบสน์ เดิม เป็นที่มีปราสาทเก่ามาก่อนฐานปราสาทจริงๆอยู่ตรงมุมโบสน์ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และมีสระล้อมรอบอุโบสถ หรือที่ปราสาทเก่า เว้นเฉพาะด้านทิศตะวันออก หรือทิศบูรพา เป็นรูปทางเข้าโบสน์ทางเดียว

หลักฐานการตั้งวัด
1. ตั้งวัด เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐
2. กระทรวงศึกษาธิการประกาศตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่…..เดือน…..พ.ศ……..
3. ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ …-.เดือน … พ.ศ. ๒๔๘๒
เนื้อที่กว้าง ๑๓ ไร่ ยาว…….. เมตร
และได้ประกอบพิธีผูกทัพสีมา เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
ได้รับหนังสือรับรองสภาพวัด จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดบุรีรัมย์
ณ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดย นาง เสมอสุข กลิ่นวงค์ นักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงาน พระพุทธศาสนาจังหวัดบุรีรัมย์

ประวัติความเป็นของวัดบ้านปราสาทโดยละเอียด
วัดบ้านปราสาทนี้ข้าพเจ้าได้สืบถามคนเท่าเก่าแก่มาโดยย่อ ๆ พอประมาณและทราบได้ดังนี้ วัดนี้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๐ อาศัยแรงศรัทธาจากชาวบ้านตั้งวัดขึ้นโดยมีผู้นำครั้งแรก อาศัยกำลังชาวบ้านถากฐานสถานที่ได้แล้ว ก็ได้ยกวัดเล็ก ๆ ขึ้นก่อนพอเป็นที่อาศัยของพระเณร เมื่อครั้งนั้น ส่วนที่ดินนั้นได้จัดไว้เป็นที่สร้างวัดขึ้นโดยเฉพาะเพราะไม่ได้เป็นของผู้ใดใครผู้หนึ่งอุทิศหรือถวายเพราะสถานที่ตั้งขึ้นเห็นเหมาะสมและมีวัตถุสถาน(ปูชะนีสถาน)
เอาเป็นสิ่งสำคัญอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกกันว่าปราสาท เกรย์ วัดจึงได้มีนามว่า วัดบ้านปราสาทกเรย์ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงเท่าทุกวันนี้ ส่วนมากทุกวันนี้ชาวบ้านจะเรียกว่าวัดบ้านปราสาทโดยตัดคำว่ากเรย์ออก
ปราสาทนั้น มีรูปพรรณสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยกว้างยาว ๖ เมตร และทำเป็นบันใดชั้นๆเป็น ๗ ชั้น และแต่ละชั้น มีความกว้างพอสมควร ส่วนชั้นที่ ๗ เป็นลานกว้าง ตรงกลางมีรูปลักษณะเป็นเตียงนอนหรือแคร่ (ภาษาเขมรเรียกว่า (เกรย์) หรือที่ประทับของพระยาสมัยใดสมัยหนึ่งที่เดินทางผ่านมา แต่ต่างคือลักษณะได้ทำด้วยอิฏหินศิลาแลง ปราสาทนี้ ก็อยู่นานพอสมควร พอคิดสร้างโรงอุโบสกขึ้น เจ้าอาวาสได้ให้รื้อถอนทิ้งเสีย ส่วนพระที่ท่านอยู่สร้างวัดครั้งแรกมีนามว่า อาจารย์เมา อยู่ประมาณ ๙ พรรษา แล้วท่านไปที่ไหนอีกไม่มีใครทราบได้ ลำดับ ต่อมาจาก อาจารย์ เมา ก็มีหลวงพ่อแก้ว ได้เป็นผู้มาอยู่แทนดำเนินงานในการก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น มีการสร้างกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงอุโบสถเพราะว่าลำดับต่อจากอาจารย์เมามาประชาชนก็มากขึ้นพร้อมทั้งอาจารย์ผู้นำก็เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากด้วยย่อมเป็นที่เลื่อมใสของญาติโยมภายในตำบลปราสาทพร้อมทั้งพระภิกษุสามเณรก็มีมากขึ้น ฉะนั้นจึงได้สร้างและนำความเจริญให้กับวัดและหมู่บ้านมากขึ้น นับได้ว่ามีชื่อเสียงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
การสร้างกุฏิ และการสร้างศาลาการเปรียญ อุโบสถ ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ – พ.ศ-๒๔๗๒ รวม ๕ ปี จึงสำเร็จการสร้างกุฏิ สร้างศาลาการเปรียญ และอุโบสถ และทำการผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ วัดที่สร้างขึ้น เมื่อสมัยครั้งโน้นเมื่อนานมาก็ชำรุดทรุดโทรมลงทางคณะชาวบ้านและเจ้าอาวาสได้รื้นถอนเสียและสร้างวัดใหม่แทนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งมีอาจารย์สวัสดิ์ เป็นผู้นำในการก่อสร้างไหม่แทน ส่วนพอุโบสถนั้นได้ชำรุดทรุดโทรมลง และมีการบูรณะซ่อมแซมไปแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกได้บูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยการนำการบูรณะจากพระอาจารย์สมหวัง เตชวโร ซึ่งลักษณะอุโบสถนั้นเป็นไม้ทั้งหมด ต่อมาได้ชำรุดอีกและได้มีการบูรณะซ่อมแซมอีกเป็นครั้งที่ ๒ และได้เปลี่ยนสภาพจากไม้และและกระเบื้องเป็นไม้อีกและเปลี่ยนมุงสังกะสีอีก และต่อมาชำรุดอีก ต่อมามีการบูรณะอีก โดยเปลี่ยนสภาพใหม่จากไม้เป็นคอนกรีตทั้งหมด เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยการนำบูรณะใหม่จากพระอาจารย์แช่ม กตสาโร หรือปัจจุบันเป็น พระครูสารธรรมประสาธน์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ส่วนศาลาการเปรียญ เสาไม้ใหญ่นั้น ในช่วงที่พระครูสารธรรมประสาธน์ มาบวชตอนเป็นเณร เริ่มชำรุดแล้วใช้งานไม่ได้แล้วชำรุดมากปล่อยทิ้งไว้เกือบ ๒๐ ปี ไม่ได้ใช้งาน ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง บูรณะซ่อมแซมใหม่และยังคงสภาพเดิมและสามารถที่จะใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลได้ปกติ นำโดยพระครูสารธรรมประสาธน์ อุปถัมย์โดย นายอรุณ เหลืองชัยศรี ดร. อนุวรรษ วัฒนพงศ์ศิริ และพ้อค้าประชาชนชาวตำบลปราสาท และในตลาดอำเภอเมืองบุรีรัมย์ สิ้น งบประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙
ปูชนียวัตถุ-โบราณวัตถุ

สำหรับปูชนียวัตถุนั้นได้สืบถามและเรียบเรียง ดังนี้คือ สถานที่สร้างพระอุโบสกนั้นแต่ก่อนเป็นปราสาท ซึ่งมีลักษณะ กว้าง – ยาว ๖ เมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสสร้างด้วยอิฐและหินสิลาแลงเป็น ๗ ชั้นแต่ละชั้นคล้ายบันไดแต่มีความกว้างส่วนชั้นที่ ๗ เป็นลักษณะคล้ายเตียงนอนหรือแคร่ที่ประทับหรือที่นั่งของพระยาสมัยใดสมัยหนึ่งที่เดินทางผ่านมาและพักผ่อน แล้วพักชั่วครั้งชั่วคราว ชาวบ้านเรียกว่า กเรย์ เป็นภาษาเขมร ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่า บ้านปราสาทกเรย์พอมาในระยะหลัง ๆ เรียกว่าบ้านปราสาท โดยตัดคำว่า “ กเรย์ ” ออก
ต่อมาประชาชนชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นและพระภิกษุสามเณรก็มีมากขึ้นประกอบกับพระผู้นำก็เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านจึงได้คิดสร้างพระอุโบสกขึ้น จึงได้เลือกสถานที่ที่ตรงมีปราสาทเพราะเป็นที่เนินสูงและมีสระล้อมรอบเหมาะสมที่จะสร้างอุโบสถขึ้นจึงได้รื้อปราสาทออกและเคลียพื้นที่ให้เรียบ ปรากฏว่าภายใต้ของปราสาทนั้นได้พบวัตถุโบราณ เช่น โอ่งน้ำ ไหและมีสิ่งบรรจุอยู่ข้างใน เช่น ข้าวเปลือกและเงินแท่งเต็มไห มีอยู่ ๓ ไห ส่วนข้าวเปลือกเอามือไปจับขยี้ดูก็เป็นผุยผงหมายถึงว่ามันผุและยิ่งกว่านั้นได้พบเทว รูป ซึ่งแกะด้วยหินที่สวยงาม เป็นรูปผู้หญิงผู้ชายไว้ผมยาวและพวกสิ่งของอื่น ๆ เช่น สาก ครก เป็นหินทั้งหมดแต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่ได้พบนั้นไม่ได้เก็บไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ดูได้เห็นได้ชื่นชม มีคนถามว่าเอาไปไหนหมด บอกสิ่งที่เป็นชิ้นเล็ก ๆ นั้นเงินแท่งต่างคนต่างหยิบเอาไปใช้หมดส่วนเทวรูปนั้นบอกว่าเอาฝังไว้คืน ห่างจากที่เดิมประมาณ ๑๐ เมตร
หลังจากได้ทำการรื้อถอนปราสาทนั้นก็เกิดจลาจลชาวของชาวบ้านในหมู่บ้าน ชาวบ้านเกิดอาการปวดท้องและก็ตายไปเป็นจำนวน ๓ ราย ผู้นำของหมู่บ้านได้ทำการเซ่นทรวงขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบรรเทาอาการหายไป หลังจากการทำการรื้อถอนปราสาทและสร้างอุโบสกขึ้นไม่นาน ก็เกิดมีจอมปลวกเกิดขึ้นโดยที่ชาวบ้านไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นห่างจากอุโบสถด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๕ วาเศษ
ดังนั้นเมื่อจอมปลวกเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีใครทำลายเสีย ชาวบ้านถือว่าเป็นลาภอย่างหนึ่งและเป็นสถานที่สำคัญและถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านแล้วได้พากันหาไม้มาปลูก มุงและบังจอมปลวกนั้นไม่ให้ถูกฝนและแสงแดดแล้วพากันสักการะเคารพบูชาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน ตั้งแต่นั้นมาตราบเท่าทุกวันนี้ ซึ่งชาวบ้านพากันเรียกชื่อว่า “ศาลเจ้าปู่สวาท”

เสนาสนะและสิ่งปลูกสร้าง ลักษณะโดยทั่วไป
1. อุโบสก กว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๓ เมตร
สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘
ลักษณะทั่วไป สภาพเป็นไม้เสาของตัวโบสถ์ที่ออกปลายแกะสลักหน้าจั๋วแกะสลักลวดลายของโบราณหลังคามุงกระเบื้องปูนแผ่นเล็ก พื้นปูด้วยกระเบื้องลักษณะ ๖ เหลี่ยม ฝาผนังเป็นไม้ มีประตู ๕ ประตู หน้าต่าง ๑๐ หน้าต่าง ( หมายเหตุ ) รายงานแบบลักษณะโบสถ์เก่า
2. ศาลาการเปรียญ กว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๓๕ เมตร
สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙
ลักษณะทั่วไป ชำรุดทรุดโทรมใช้งานไม่ได้ ตัวอาคารเป็นไม้ทั่งหมด ต้นเสาของศาลาใหญ่วัดโดยรอบ ๑ . ๘๐ เซนติเมตร สูงจากพื้นดินถึงขื่ออัลเส ๘ เมตร พื้นเป็นไม้ยาว หนา ๒ x ๑๐ หรือ ๒ x ๑๒ ก็มี
3. หอสวดมนต์ +กุฏิหลังเก่า กว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๕๒ เมตร
ได้ทำการปรับปรุงและต่อเติมเมื่อปี พ.ศ. เดือน เมษายน ๒๕๔๙
สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔
ลักษณะทั่วไป …
ต่อเติม ขยายรอบกุฏิหลังเก่าเดิมกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๒๐ เมตรเป็นกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๕๒ เมตร
4. กุฏิจำนวน ๒ หลัง คือ
หลังที่ ๑ กว้าง ……๑๖…….. เมตร ยาว ……๒๐………. เมตร
สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐
ลักษณะทั่วไป อาคารเป็นไม้ทั้งหมด ทั้งพื้นและเพดาน หลังคา ลักษณะ ๔ หลัง รอบเชิงชาย ตัดสังกระสีเป็นลวดลายปิดรอบเชิงชาย มีห้อง ๗ ห้อง
หลังที่ ๒ กว้าง ๘.๖๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร
สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕
ลักษณะทั่วไป ยังอยู่ในสภาพดี เป็นคอนกรีต ๒ ชั้น อาคารมีไม้เป็นบางส่วน เช่น พื้นเป็นไม้และหลังคา หลังคามุงกระเบื้องลอนเล็ก เสา ๒๔ ต้น ๖ ห้อง พื้นชั้นล่างเป็นคอนกรีตและขัดหินอ่อน ๒ ห้อง ประตูเหล็ก ๒ ห้อง มีดาดฟ้าตีด้วยกระเบื้องแผ่นเรียบทั้ง ๒ ชั้น เสามีมุก ปัจจุบันชั้นล่างได้ปรับปรุงปูพื้นกระเบื้อง และเป็นประตูกระจกเลื่อน ทำเป็นห้องสมุดประจำวัดพร้อมได้จัดทำห้องส่งวิทยุกระเสียง ความถี่ ๑๐๓ MHz เคลื่อนบริการสาธารณะเพื่อพระพุทธศาสนา กำลังส่ง ๘๐๐ w และห้องบริการอินเทอเน็ตพร้อมเป็นสำนักงานเจ้าคณะตำบลปราสาท

ทำเนียบวัดบ้านปราสาท

พระครูสารธรรมประสาธน์
เจ้าคณะอำเภอบ้านด้าน, เจ้าอาวาสวัดบ้านปราสาท